ดูหนังออนไลน์ เต็มเรื่อง หนังใหม่อัพเดททุกวัน ฟรี HD ชัด

ดูหนังออนไลน์ moviehd24 หนังใหม่HD ดูหนังเต็มเรื่อง2024 ซีรี่ย์ออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี

google search

Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน

ปีที่ฉาย : 2018
เสียง : ซับไทย
Episode : -
imdb 7.2
ความคมชัด : HD
Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน

ดูหนังออนไลน์ Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน

เรื่องย่อ : Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD

ดูหนัง Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน

รีวิว

Form Corleone

Review: Leave No Trace (Debra Granik, 2018)

พ่อและลูกสาวพยายามใช้ชีวิตในป่า ปลีกวิเวกออกจากสังคมเมือง คือพล็อตเรื่องทั้งหมดของหนังพาเราสังเกตพ่อลูกคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางพื้นป่ากว้างใหญ่ แม้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะเดินทางไปเมืองใกล้ ๆ ป่าแห่งนี้เพื่อซื้อน้ำ อาหาร สำหรับดำรงชีพ แต่อะไรคือจุดมุ่งหมายของการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองมาอยู่ในป่า? หนังไม่ได้เฉลยหรือบอกถึงที่มาที่ไปของสองพ่อลูกคู่นี้ว่าอะไรทำให้พวกเขาตัดสินใจเลือกมาอาศัยอยู่ในป่า แน่นอนว่า เราเกิดคำถามขณะดูว่าเหตุและผลของการเลือกมาอยู่ในป่าแทนที่จะอยู่บ้านหรือมีงานทำอย่างคนปกติทั่วไปคืออะไรกันแน่? ซึ่งเราสามารถตีความนัยยะการกระทำของตัวละครพ่อที่พยายามให้ลูกเรียนรู้จักการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ฟังเสียงธรรมชาติ หรืออาจจะไม่ได้ใส่ใจอะไรในแง่มุมนั้น เพียงแค่พ่อพยายามหนีอะไรบางอย่างในใจ แต่ไม่สามารถผลักภาระในการดูแลลูกสาวให้ใครได้ จึงพาลูกสาวมาทุกข์ทนความลำบากด้วยกัน นัยยะทั้งสองทางสามารถให้น้ำหนักได้ในระดับหนึ่ง หรือมีนัยยะอะไรที่มากกว่านั้น?

ความน่าสนใจคือตัวละครทอม ในฐานะลูกสาววัย 13 ปี เปรียบเสมือนหญิงสาวผู้ไม่เคยเข้าใจโลกภายนอกอย่างแท้จริง และไม่เคยได้เลือกชีวิตที่ต้องการจะอยู่หรือไปได้ด้วยตัวเอง การอยู่ในป่ากับพ่อตามลำพังทำให้ทอมรับรู้ข้อมูลเพียงด้านเดียวคือชีวิตในป่า แต่เมื่อกฎหมายไม่อนุญาตให้คนทั่วไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าได้ ทำให้ทอมได้รับรู้โลกอีกด้านหนึ่งซึ่งคือวิถีชีวิตความเป็นเมืองทั่วไป เส้นทางของทอมจึงไม่ได้มีแค่ทางเดียวอีกต่อไป ทอมสามารถเลือกและกำหนดชีวิตของเขาได้เองว่าจะเดินทางไปที่ไหนหรือจะอยู่ในที่ใหน เมื่อมีทางเลือกที่มากกว่าหนึ่งทาง จึงเกิดคำถามว่าจะเลือกทางไหน? คำถามจากความไม่รู้? คือแรงขับเคลื่อนให้มนุษย์ค้นหาคำตอบ ความหมายในชีวิตของทอมจึงไม่ได้ถูกกำหนดด้วยพ่อของเขาอีกต่อไปและไม่จำเป็นต้องเหมือนพ่อเช่นเดียวกัน แน่นอนว่า พ่อของทอมรับรู้ความรู้สึกนี้และเข้าใจรวมถึงรอคอยให้ทอมเติมโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีโลกที่กว้างขึ้น และเรียนรู้เข้าใจเรื่องราวที่ติดอยู่ในใจหรือบาดแผลอะไรที่อยู่ในใจก็ควรที่จะรักษาเยียวยาด้วยตัวเอง

ในขณะเดียวกันตัวละครพ่อก็มีความเจ็บช้ำอยู่ในใจก็รอการรักษาด้วยตัวเองเช่นกัน ความสับสนของตัวละครตัวนี้ในทางเลือกของชีวิต หรือกระทั่งความโศกเศร้าในอดีตที่เกาะกุมรอคอยวันรักษา ถูกนำเสนอผ่านการแสดงของ เบน ฟอสเตอร์ ได้อย่างยอดเยี่ยม และเราไม่ต้องรับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเลยว่าตัวละครตัวนี้มีเรื่องราวอะไรที่ทำให้เขาเจ็บปวด เราจึงไม่สามารถที่จะตัดสินตัวละครตัวนี้ได้เลยว่าสิ่งที่เขาเลือกทำแบบนี้เพราะมีสาเหตุมาจากแบบนี้ ซึ่งการที่เราไม่รู้สาเหตุของตัวละครกลับกลายเป็นข้อดีเพราะทำให้เราเป็นผู้สังเกตการณ์และมองดูตัวละครทั้งสองตัวด้วยความเรียบง่าย และซึมซับความรู้สึกที่ตัวละครส่งมาให้เราที่เป็นผู้สังเกตการณ์อย่างแท้จริง

ท้ายสุด หนังมีความเศร้าซ่อนตัวอยู่ในหลายแง่มุม เพียงแต่อาการของหนังไม่ได้พยายามเรียกร้องให้เราร้องไห้หรือฟูมฟายไปกับความทุกข์นั้น และหนังเองก็พยายามตั้งคำถามว่าทางเลือกในชีวิตของเรามันมีทางแยกอยู่ เรานี่แหละที่เป็นคนกำหนดเลือกมันเอง และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์มันไม่ได้แยกจากกันอย่างมีนัยสำคัญ ความเป็นเรื่องเดียวกันมันซ้อนทับกันอยู่ในมิติความสัมพันธ์ซึ่ง  ได้ดึงประเด็นนั้นออกมานำเสนอ จนแล้วจนรอด ธรรมชาติก็คือแม่และพ่อเรา ในขณะที่ลูกก็คือมนุษย์ ที่สักวันหนึ่งลูกก็ต้องออกเดินทางด้วยวิถีทางของตัวเอง แต่ลูกต้องไม่ลืมพ่อและแม่ซึ่งนัยยะนี้คือธรรมชาตินั่นเอง…

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ ยิ้ม

ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่

รีวิว – Leave No Trace

คือ หนังที่เล่าถึง วิล อดีตทหารผ่านศึกและ ทอม ลูกสาววัยรุ่นของเขาที่แอบเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตป่าสงวนในพอร์ตแลนด์

ทั้งสองคนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย โดยจะเดินทางออกจากป่ามาซื้อของใช้จำเป็นในเมืองบ้างเป็นครั้งคราว และวิลก็ได้สอนทักษะการพรางตัวที่เขาได้เรียนรู้ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นทหารให้กับทอม เพื่อหลบหนีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ แต่แล้ววันนึง สองพ่อลูกก็พลาดท่าถูกจับกุม ซึ่งทำให้พวกเขาต้องออกจากป่ามาใช้ชีวิตอย่างคนปกติ

ทั้งสองคนถูกส่งให้มาอยู่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง ซึ่งที่จริง มันก็เป็นสถานที่ที่ทำให้ทั้งคู่ยังคงได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ แต่สำหรับวิล มันก็ยังคงเป็นความทุกข์ทรมานสำหรับเขาที่ไม่อยากจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในกรอบกฏเกณฑ์ของสังคมอีกต่อไป

เป็นหนังที่เล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย โดยหัวใจหลักของมันก็คือความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่แม้จะเต็มไปด้วยความรัก แต่เราก็เห็นได้ถึงความแตกต่างทางความคิดที่เปิดเผยให้เราได้เห็นเล็กน้อยในช่วงต้นเรื่อง ก่อนที่จะค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้นเมื่อเรื่องราวดำเนินไปข้างหน้า

แม้ว่าชีวิตใหม่ในฟาร์มจะเป็นความทุกข์ทรมานสำหรับวิล แต่สำหรับทอม มันกลับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอได้พบกับ ‘โลกใบใหม่’ ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน และมันก็ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า โลกใบไหนคือโลกที่เธออยากจะใช้ชีวิตอยู่กันแน่

สิ่งสำคัญที่หนังเรื่องนี้บอกกับเราก็คือ ใช่ว่าทุกคนจะผ่าน อดีตที่เจ็บปวด ไปได้ง่ายๆ และเมื่อความเจ็บปวดมันเกินจะทน การเลือกที่จะหลีกหนีก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร

ในการแอบใช้ชีวิตอยู่ในป่า สองพ่อลูกต้องพยายามกำจัด ‘ร่องรอย’ ต่างๆ เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ แต่สิ่งที่วิลไม่อาจกำจัดได้ก็คือ ‘ร่องรอยความเจ็บปวด’ ที่ชีวิตฝากเอาไว้ให้กับเขาทั้งจากเรื่องสงคราม และการที่ต้องสูญเสียภรรยาไป

ธีมสำคัญของหนังเรื่องนี้ก็คือเรื่องราวของ ‘ความไว้วางใจ’ ต่อผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กสาวอย่าง ทอม มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นใหม่ได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ผ่านความเจ็บปวดมามากอย่าง วิล

ฉากหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือตอนที่คุณป้าคนหนึ่งสอนให้ทอมสัมผัสกับผึ้งโดยไม่ต้องใส่ชุดป้องกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สามารถทำให้ผึ้งไว้ใจได้เท่านั้น และมันก็คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความปรารถนาที่จะสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ (รวมทั้งมนุษย์) ของ ทอม ที่แตกต่างไปจากพ่อของเธอ

Leave No Trace คือ หนัง coming-of-age ที่พูดถึงความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ และมันก็ทำให้เราได้เห็นว่า สุดท้ายแล้ว อิสรภาพที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนก็คือ สิทธิในการเลือกทางเดินที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง

เรื่องเล่น รีวิว – 9 เต็ม10

โรงภาพยนตร์ที่ 3 ที่นั่ง E12

Leave No Trace (2018) . . . หากเธอเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า

(เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน) คือศัพท์ในวงการเดินป่าที่มีความหมายถึงกฏในการ “ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้” เมื่อเข้าไปเยือนแหล่งธรรมชาติใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าหรือธรรมชาติบริเวณนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากฝีมือมนุษย์

และแม้หนังเรื่อง “Leave No Trace” จะเป็นการเล่าถึงการเข้าป่าเช่นเดียวกัน แต่ความหมายของคำว่า “ไม่ทิ้งร่องรอย” ที่หนังสื่อสารออกมากลับลึกซึ้งยิ่งกว่า และแฝงเรื่องราวไม่ธรรมดาอยู่ในนั้น…

#VeryShortVersion

– เล่าเรื่องได้น่าติดตามมาก ค่อยๆเผยเนื้อหาทีละนิด เล่นกับความอยากรู้อยากเห็นของคนดูได้ดี

– แฝงประเด็นเรื่องการต่อสู้กับปัญหา และการก้าวข้ามวัยได้น่าสนใจ

– ถ่ายภาพธรรมชาติออกมาได้สวยงามสุดๆ

Leave No Trace เป็นหนังที่จะมาเล่าถึงพ่อลูกคู่หนึ่งที่เมื่อเปิดเรื่องมาเราจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทั้งคู่เลยนอกจากว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในป่า ซึ่งสำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและสนใจจะไปลองหาชม ผมว่าก็ควรจะรู้แค่นี้เช่นกันครับ เพราะจุดเด่นหนึ่งของหนังที่เด่นมากๆ ก็คือเทคนิคในการ “ค่อยๆเผยร่องรอยของเนื้อหา” ที่เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับชื่อเรื่องที่หมายถึง “การไม่ทิ้งร่องรอย” กันเลยทีเดียว

มันจะมีการเล่าแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นธรรมชาติ ไม่เร่งเร้า ทำให้เราค่อยๆถูกดึงดูดเข้าสู่ประเด็นของหนัง และอยากติดตามต่อทั้งด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และตัวละครเค้าจะก้าวข้ามสิ่งที่เผชิญได้ไหม

ซึ่งประเด็นสุดท้ายที่หนังเตรียมไว้ก็นับได้ว่างดงามคุ้มค่าแก่การเฝ้าดู

#จากนี้จะมีสปอยล์ละจ้า

แม้ว่าที่สุดแล้ว หนังจะไม่ได้เฉลยอยากชัดเจนว่าคนพ่อไปเจออะไรมาจึงได้กลายปัญหาด้านจิตใจอย่างใหญ่หลวงจนทำให้เค้าหันหลังให้สังคม แต่ในความไม่ชัดเจนนี้ หนังได้นำเราไปสู่ 2 ประเด็นที่ในทีแรกผมก็ไม่คิดเลยว่าหนังจะพาไปถึง

หนึ่ง. คือการพูดถึงภาวะ “ปล่อยวางจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยว” ทั้งตัวพ่อเอง ที่เรียนรู้จะอยู่ต่อโดยไม่มีลูกไว้เป็นตัวแทนของภรรยา หรือตัวแทนของอะไรก็ตาม/ เรียนรู้ว่าไม่ควรนำคนอื่นเข้ามาลำบากไปกับปัญหาของตัวเอง/ เลิกเป็นคนเห็นแก่ตัว

รวมถึงตัวลูกที่ไปถึงจุดของการ “ก้าวข้ามวัย” คือกล้าพอที่จะปฏิเสธผู้เป็นพ่อเมื่อมองว่ามันไม่เหมาะสม เพื่อเลือกหนทางที่ดีกว่าให้ตัวเอง
และ สอง. คือประเด็นที่หนักหน่วงมาก แต่หนังเล่าได้เรียบง่ายสุดๆและทรงพลังสุดๆผ่านฉากจบที่ตราตรึงใจแน่นอนสำหรับใครก็ตามที่ได้ดู นั่นคือการทำให้เห็นว่า “บางปัญหาในชีวิตมันก็ไม่ได้ก้าวข้ามได้ง่ายขนาดนั้น” บางครั้งแม้พยายามแค่ไหนมันก็ทำไม่ได้(เช่นคนพ่อที่พยายามจะ “ไม่เหลือร่องรอย” ความเจ็บปวดต่างๆแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้) และมันก็ไม่ใช่ความผิดด้วยหากเราจะยอมแพ้ ประเด็นนี้จะคล้ายๆกับเรื่อง Manchester by the Sea ทีเดียวครับ ซึ่งผมก็ชอบมากพอๆกัน

ซึ่งจากด้านบน มันก็ต่อเนื่องไปสู่เรื่องราวที่ทำให้เราได้เห็นการปะทะกันของ “แนวคิดต่างช่วงวัย” รวมถึง “แนวคิดที่ต่างกันของคนที่กำลังอยู่ในห้วงของปัญหากับคนที่ไม่ได้อยู่ในภาวะมีปัญหา” นั่นคือฝ่ายหนึ่งจะมองโลกแบบตั้งคำถาม มีภาพความไม่งามของโลกใบนี้อันเนื่องมาจากประสบการณ์ ส่วนอีกฝั่ง เรียกง่ายหน่อยก็บอกได้ว่ายังโลกสวยอยู่ และเชื่อมั่นในสังคมมนุษย์อาจจะเพราะยังไม่รู้จักโลกนี้ดีพอนั่นเอง ถามว่ามีใครผิดหรือไม่? ก็อาจจะไม่มีเพราะมันคือมุมมองที่แตกต่างกัน

นอกเหนือไปกว่านั้น จากในส่วนของชื่อเรื่อง มันยังสื่อสารได้ถึงแนวคิดเชิงต่อต้านสังคมอันศิวิไลซ์ ดังที่เราจะเห็นได้จากหนังว่าสังคมเมืองมันเต็มไปด้วยข้อกำหนด กฏระเบียบ และพิธีรีตองมากมายที่ “จำเป็นต้องทำ” หากต้องการจะใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งในนั้น ดังนั้น สำหรับบางคนแล้ว การจะมองว่ามันแสนสับสนและวุ่นวาย จนอยากจะหลบหนีไปจากสังคมนี้อย่างไร้ร่องรอยเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีอิสระเสรีโดยแท้จริง

มันจะผิดตรงไหนกันล่ะ?

IMDb: 7.2

Rottentomatoes: 100% (Avg. 8.5)

Metascores: 88

แอดหมี Scores: 4 หมี

ผู้กำกับ

Debra Granik

บริษัท ค่ายหนัง

  • Bron Creative
  • Topic Studios
  • Harrison Productions
  • Reisman Productions
  • Still Rolling Productions

นักแสดง

  • Ben Foster
  • Thomasin McKenzie
  • Jeff Kober
  • Dale Dickey

โปสเตอร์หนัง

Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน

Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน

Leave No Trace (2018) ปรารถนาไร้ตัวตน

เรื่องย่อ

ดูหนังออนไลน์ พ่อและลูกสาววัย 17 ปีใช้ชีวิตในอุดมคติในสวนสาธารณะอันกว้างใหญ่ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน เมื่อความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาทำให้ชีวิตของพวกเขาต้องตกรางไปตลอดกาล

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

The Vanished (2020)

The Vanishing (2018) สามสาบสูญ

A Hologram For The King (2016) ผู้ชาย หัวใจไม่หยุดฝัน

Society of the Snow (2024) หิมะโหด คนทรหด

Junkyard Dog (2023)

แสดงความคิดเห็น

ดูหนังออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี เรื่องอื่นๆ

ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่2024 moviehd24 ดูหนังเต็มเรื่อง หนังHD ดูหนังฟรีไม่กระตุก