The Wild Bunch (1969) คนเดนคน

The Wild Bunch (1969) คนเดนคน

รีวิว

Bogmeister

⭐ 9/10

Peckinpah มีตัวแทนและนี่คือภาพยนตร์ที่ให้ประโยชน์ส่วนใหญ่ ฉันได้รับสิทธิพิเศษที่ได้เห็นสิ่งนี้บนจอภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในช่วงปลายอายุเจ็ดสิบ เมื่อเครดิตเริ่มต้นจบลง Pike (Holden) บอกกับกลุ่มของเขาว่า “ถ้าพวกเขาเคลื่อนไหว ฆ่าพวกมันซะ!” จากนั้นเครดิตของ Peckinpah ก็ปรากฏขึ้น ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งข้างหลังฉันอ้าปากค้างและกระซิบว่า “โอ้ ไม่…” โอ้พระเจ้า ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเธอได้เข้าไปดูหนังเรื่อง Peckinpah

และเธอก็รู้ว่าเธอทำไปเพื่ออะไร เมื่อเข้าสู่เพกคินพาห์แลนด์ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ไม่มีการดึงหมัดและหลีกเลี่ยงแง่มุมที่ไม่พึงประสงค์ของชีวิต ตัวละครของเพคคินพาห์เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง ฉันหมายถึง ยากจริงๆ  The Wild Bunch (1969) คนเดนคน ไม่ใช่ของปลอมแบบฮอลลีวูด ในกรณีนี้ พวกเขาถูกทำให้ลำบากใจจากสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปีๆ บนเส้นทาง ถูกแสงแดดแผดเผา งูหางกระดิ่งหัก และถูกโจรคุกคาม และ ณ จุดนี้ พวกเขาเกือบจะมีมันแล้ว

ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังบ่นนะ พวกเขาใช้ชีวิตตามที่เห็นสมควร กลุ่มนี้ และพวกเขาไม่ขอโทษใดๆ เลย ฉันเชื่อว่าปีที่แท้จริงคือประมาณปี 1913 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่มต้นขึ้น การกระทำส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเม็กซิโก โดยที่ The Bunch เข้าไปพัวพันกับนายพลท้องถิ่น (เฟอร์นันเดซ) ที่มีความหลงผิดในความยิ่งใหญ่ตามปกติ หากใช้ชื่อตัวละครแองเจิล ทั่วไปก็ถือเป็นเวอร์ชั่นของปีศาจได้ นั่นจะทำให้กลุ่มเทวดาล้างแค้นในตอนท้าย แต่ฮีโร่เหรอ? ไม่เลย. พวกเขามีรหัสของตัวเอง

slokes

⭐ 8/10

เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ผู้คนไม่เห็นด้วย แม้แต่คนที่เห็นด้วยว่ามันยอดเยี่ยมมาก มันซับซ้อนอย่างแน่นอน ให้ความบันเทิงในรูปแบบที่รบกวนจิตใจ และจัดการให้กลายเป็นสิ่งทำลายล้างและศีลธรรมในทันที ไม่ใช่กลอุบายง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภาพยนตร์คาวบอย ปัญหาแรกที่เราต้องจัดการเมื่อดูภาพยนตร์เรื่องนี้คือความจริงที่ว่ามีการดวลปืนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่มีใครคอยสนับสนุน ด้านหนึ่งมีนักแสดงนำทั้งหมด รวมถึง William Holden, Ernest Borgnine, Ben Johnson และ Warren Oates

แต่เมื่อเทียบกับความคาดหวังทั้งหมด พวกเขากลับกลายเป็นทีมงานผิวดำที่น่ารัก The Wild Bunch (1969) คนเดนคน  สิ่งแรกที่ออกจากปากของโฮลเดนที่พูดเกี่ยวกับกลุ่มผู้บริสุทธิ์ที่ขี้ขลาดคือ “ถ้าพวกเขาเคลื่อนไหว ฆ่าพวกมันซะ” และก่อนที่การต่อสู้จะจบลง เราได้เห็นเขาและทีมของเขากระทำการอันป่าเถื่อนทุกรูปแบบ เหตุผลเดียวที่เราไม่เห็นว่าพวกเขาชั่วร้ายในทันทีก็คือผู้คนที่พวกเขาต่อสู้นั้นไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้ว

เมื่อเวลาผ่านไป เราได้รับการสนับสนุนให้ค้นหาบางสิ่งที่มีค่าใน Pike Bishop ของ Holden และสหพันธรัฐผู้โหดเหี้ยมของเขา ขณะที่พวกเขาขี่รถออกไป เลียบาดแผล และพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้อย่างอื่นดำเนินไป อะไรก็ได้ ปัญหาเดียวคือในปี 1913 และพวกนอกกฎหมายเหล่านี้หมดเวลาและทางเลือกต่างๆ “ฉันอยากจะทำคะแนนดีๆ สักแต้มแล้วถอยออกไป” คือสิ่งที่ Pike พูด ซึ่ง Dutch เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของ Borgnine อุทานว่า “กลับไปทำอะไรล่ะ!”

การไล่ล่ากลุ่มคนและเสนอตัวละครที่เห็นอกเห็นใจแก่ผู้ชมคือโรเบิร์ต ไรอันในบทเดค ธอร์นตัน อดีตหุ้นส่วนของไพค์ที่ไม่ต้องการกลับเข้าคุก และการฆ่าคนกลุ่มนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ไม่พึงประสงค์ในการรักษาตัวของเขา เสรีภาพ. ไรอันซึ่งเสียชีวิตในปี 1973 อาจจะไม่เป็นที่รู้จักเท่านักแสดงนำคนอื่นๆ ในปัจจุบัน แต่เขาแสดงบทบาทที่น่าเศร้าและสง่างามให้กับช่วงเวลาบนหน้าจอของเขา ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสง่างามและความอบอุ่นอย่างมาก

Theo Robertson

⭐ 9/10

อาหารตะวันตกถือเป็นอาหารหลักของภาพยนตร์อเมริกัน เป็นประเภทที่ไม่ได้รับความนิยมจากนักวิจารณ์มากนัก แต่ได้รับความนิยมจากคนทั่วไปทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกน่าจะเกี่ยวกับอุดมคติและค่านิยมโรแมนติกของคนดีที่มักจะเอาชนะคนเลวในการต่อสู้แบบตรงไปตรงมา ตามมาด้วย Sam Peckinpah และเปลี่ยนแนวเพลงให้เป็นที่จดจำ

สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีการสร้าง The Wild Bunch (1969) คนเดนคน ระบบสตูดิโอฮอลลีวูดได้เปิดทางให้กับ “The New Hollywood” ซึ่งผู้กำกับได้รับการควบคุมอย่างสร้างสรรค์แต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ The Hays Code ห้ามมิให้มีเพศสัมพันธ์บนหน้าจอและความรุนแรงอย่างเคร่งครัดได้เปิดทางให้กับระบบการรับรองที่ขยายความคลุมเครือทางศีลธรรมและธีมสำหรับผู้ใหญ่ที่ชัดเจน ผู้กำกับ Sam Peckinpah ตะลึงกับเสรีภาพทางศิลปะที่เพิ่งค้นพบเหล่านี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องได้น่าตกใจและมีอิทธิพลของไอเซนสไตน์อย่างมาก เนื่องจากมีตรรกะภายในเพียงเล็กน้อยสำหรับผู้หญิงที่เย้ยหยันกับกองทหาร Czarist ใน BATTLESHIP POTEMKIN จึงมีตรรกะเพียงเล็กน้อยพอๆ กันสำหรับสมาชิกสังคมลดหย่อนที่เดินเข้าไปในภวังค์อย่างต่อเนื่องระหว่างพวกนอกกฎหมายและนักล่าเงินรางวัลในการสู้รบด้วยปืนที่กินเวลาสี่นาที ผลกระทบทางอารมณ์ของฉากนั้นมีความสำคัญมากกว่าตรรกะ และแม้กระทั่งทุกวันนี้ ฉากนี้ก็ยังคงเป็นฉากที่ทรงพลัง

ผู้กำกับ

• Sam Peckinpah

บริษัท ค่ายหนัง

• Warner Bros./Seven Arts

นักแสดง

• William Holden
• Ernest Borgnine
• Robert Ryan
• Edmond O’Brien
• Warren Oates
• Jaime Sánchez
• Ben Johnson

โปสเตอร์หนัง

เรื่องย่อ

พวกนอกกฎหมายกลุ่มสูงวัยมองหาคะแนนสูงสุดเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อชาวอเมริกันตะวันตก “ดั้งเดิม” The Wild Bunch (1969) คนเดนคน  หายไปรอบตัวพวกเขา จุดสูงสุดที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถไปถึง คือการนำเสนอความรุนแรง บ้าคลั่งในระดับเสียสติแตก ตัวละครมีความอัปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน กระทำสิ่งโหดโฉดชั่วร้ายไร้จิตสำนึก ใช้ชีวิตเพื่อสนองความพึงพอใจส่วนตน เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ทำทุกสิ่งอย่างด้วยสันชาติญาณ ทั้งๆที่กลุ่มของ The Wild Bunch เลวร้ายระดับพวกเดนมนุษย์ แต่กลับยังมีเปรตเดินดินที่โหดโฉดชั่วยิ่งกว่า กับเหตุการณ์ในฉากไคลน์แม็กซ์ มุมหนึ่งอาจมองว่าพวกเขาสามารถกลับตัวกลับใจ แต่ผมคิดว่ามันคือบทพิสูจน์การมีตัวตน และค้นพบคุณค่าของความเป็น’มนุษย์’

ส่วนตัวเคยรับชม The Wild Bunch เมื่อประมาณชาติก่อนๆ  ดูหนังออนไลน์ จริงๆก็หลงลืมไปหมดแล้วว่าเคยคิดรู้สึกยังไงกับหนัง แต่แค่พอรับชมฉากแรกจบไปก็หวนระลึกนึกออกโดยทันที นี่มันหนังที่ผมโคตรเกลียดเลยนี่หว่า เต็มไปด้วยความรุนแรงที่ต้องอุทาน ‘เxย’ ออกมาเป็นสิบๆครั้ง จนกระทั่งถึงตอนจบก็มิอาจยินยอมรับให้อภัยพวกเขาได้ สำหรับการรับชมครั้งนี้ก็ยังคงไม่ค่อยชอบเหมือนเดิมนะแหละ แต่เมื่อวางตัวเป็นกลางมองหนังอย่างไร้อคติ ทำให้เกิดความเข้าใจอะไรๆหลายอย่าง พบเห็นภาษาและไดเรคชั่นที่ยังสดใหม่ในระดับปฏิวัติวงการ ชวนให้ขนลุกขนพองอย่างยิ่งทีเดียว

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

Nevada Smith (1966) ล้างเลือด แดนคาวบอย

Django Unchained (2012) จังโก้ โคตรคนแดนเถื่อน

Shane (1953) เชน เพชฌฆาตกระสุนเดือด

Rio Bravo (1959) ยอดนายอำเภอใจเพชร

The Treasure of the Sierra Madre (1948) สมบัติกินคน